การเก็บสิ่งส่งตรวจทางด้านเคมีคลินิก (Chemistry)
การเก็บเลือดTube ที่นำมาใช้สำหรับเก็บเลือดส่งตรวจทางเคมีคลินิก มี 4 ชนิด คือ
•Heparin tube (ฝาสีเขียว) : ใส่เลือด 4 ML ผสมเลือดให้เข้ากับสารกันเลือดแข็งโดยกลับหลอดเลือดไปมา 5 - 10 ครั้ง สามารถตรวจได้ทุกรายการ FBS,BUN,Creatinine,Electrolyte,Calcium,Phosphorus,Magnesium,Cholesterol,Triglycerides,HDL-C,Uric,LFT,CPK,LDH,CK-MB
•ขวด NaF (ฝาสีเทา) : ใส่เลือด 2 – 3 ML ผสมเลือดให้เข้ากับสารกันเลือดแข็งโดยกลับหลอดเลือดไปมา 5 - 10 ครั้ง สำหรับตรวจน้ำตาลในเลือดและ Alcohol
•Tube Clotted Blood (ฝาสีแดง) : สามารถส่งตรวจได้ทุกรายการยกเว้น HbA1C
•Tube EDTA : ใส่เลือด 2 ml.ผสมเลือดให้เข้ากับสารกันเลือดแข็งโดยกลับหลอดไปมา 5 - 10 ครั้ง ใช้สำหรับตรวจ HbA1C
หมายเหตุ :
1. การตรวจ Blood gas ต้องใช้ heparin เป็น preservative ต้องรีบนำส่งห้องปฏิบัติการทันทีพร้อมแช่เย็น ขณะส่ง Body Fluids เช่น CSF, Pleural fluid, Peritoneal fluid เป็นต้น เมื่อเก็บแล้วควรรีบนำส่งห้องปฏิบัติการ โดยไม่ต้องใส่สาร preservative
2. สำหรับ ผู้ป่วยโรคไต แนะนำให้ใช้ Tube Lithium Heparin (ฝาสีเขียว) สำหรับ Labทุกรายการที่ไม่ได้ ระบุ ห้ามใช้ Tube ดังกล่าว
การเก็บปัสสาวะ
ทางเคมีคลินิกมี 2 แบบดังนี้
1.single void urine ถ่ายครั้งเดียวใส่ถ้วยพลาสติกมีฝาปิดไม่ใส่สาร preservative ส่งทันที (ตามรายละเอียด หัวข้อการเก็บปัสสาวะ)
2.Timed urine specimens ปัสสาวะที่เก็บเป็นช่วงเวลา เช่น 24 hrs. urine มีขั้นตอนปฏิบัติดังนี้
•แนะนำผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะทิ้งไปก่อนหลังจากตื่นนอนในตอนเช้าพร้อมจดบันทึกเวลาในขณะนั้นไว้ หลังจากนั้นจึงเริ่มเก็บปัสสาวะในช่วงต่อมาจนครบ 24 ชั่วโมง

การเก็บสิ่งส่งตรวจทางด้านโลหิตวิทยา (Hematology)
1. EDTA Blood Tube (ฝาสีม่วง) :
เจาะเลือดประมาณ 2 – 3 มล. หรือให้ถึงระดับที่กำหนดไว้บนหลอด ใส่หลอดปิดจุกให้แน่นกลับหลอดไปมาเบาๆ 5 – 10 ครั้ง ส่งตรวจทันทีหรือ ภายใน 2 ชั่วโมง ค่าทดสอบที่ได้จะถูกต้องและแม่นยำที่สุด
2 Trisodium citrate Blood (ฝาสีน้ำเงิน) :
ต้องใส่เลือดถึงระดับลูกศร ซึ่งบ่งชี้ไว้ข้างหลอดเท่านั้น หากน้อยเกินไปหรือมากเกินไป ไม่สามารถใช้ตรวจ การแข็งตัวของเลือดได้ ผสมเลือดให้เข้ากับสารกันเลือดแข็งทันทีแล้วนำส่งห้องปฏิบัติการ ถ้าเลือด clot ไม่ สามารถทดสอบ CBC และ Coagulogram ได้ จำเป็นต้องเก็บสิ่งส่งตรวจใหม่หากมี Partially clot จะรายงานไปพร้อมกับผลการวิเคราะห์ การส่ง Hb typing ต้องเป็น Fresh Blood หรือเจาะเลือดไม่เกิน 24 ชั่วโมง

การเก็บสิ่งส่งตรวจทางด้านภูมิคุ้มกัน (Immunology)
การเก็บสิ่งส่งตรวจทางด้านภูมิคุ้มกัน (Immunology)
สามารถเก็บเลือดส่งตรวจได้ 2 แบบ ดังนี้คือ
Tube Clotted Blood (ฝาสีแดง) :สามารถตรวจได้ทุกรายการ ยกเว้นการตรวจพิเศษให้ดูรายละเอียดตามแต่ละรายการตรวจ
นอกจากนั้นยังมีรายการตรวจพิเศษอื่นๆ เช่น CD4, HIV Viral Load ต้องใช้ Tube EDTA (ฝาสีม่วง) ดังนั้น ควรดู การเก็บสิ่งส่งตรวจตามรายการตรวจก่อนเก็บสิ่งส่งตรวจ

การเก็บสิ่งส่งตรวจทางด้านจุลทรรศน์ศาสตร์ (Microscopy)
1.การเก็บปัสสาวะ
•ปฏิบัติตามขั้นตอนหัวข้อ 3 การเก็บสิ่งส่งตรวจแต่ละชนิด
2.การเก็บอุจจาระ
•ปฏิบัติตามขั้นตอนหัวข้อ 3 การเก็บสิ่งส่งตรวจแต่ละชนิด
3.น้ำอสุจิ
•แนะนำให้ผู้ป่วยเก็บและส่งตรวจทันที เพราะหากเก็บไว้นานผลอาจผิดพลาด ทางที่ดีควรเก็บที่โรงพยาบาลนำส่งทันทีและงดร่วมเพศประมาณ 2 – 3 วัน ก่อนเก็บน้ำอสุจิส่งตรวจ และ ระบุเวลา ที่เก็บทุกครั้ง ดังนี้
1.งดยาทุกประเภทเป็นระยะ 7 วัน ก่อนการเก็บน้ำอสุจิ (Sperm)
2. งดร่วมเพศ 2-3 วัน ก่อนการเก็บน้ำอสุจิ (Sperm)
3.ทำการเก็บโดยวิธีให้ผู้ป่วยช่วยตัวเอง (ห้ามใช้ถุงยางอนามัยเก็บเพราะจะทำให้อสุจิตายได้หรือเคลื่อนไหวช้าลง
4.เก็บน้ำอสุจิ(Sperm)ใส่ขวดปากกว้าง ที่แห้ง สะอาด และมีฝาให้สนิท (ติดต่อขอรับได้ที่ห้องกลุ่มงานพยาธิวิทยาคลินิก) ให้ ระบุ รายละเอียดเหล่านี้ที่ข้างขวดให้ชัดเจน
1.ชื่อ – สกุล
2.H.N.
3.วัน และ เวลา
5.เก็บน้ำอสุจิ(Sperm)ให้หมดที่มีการหลั่งในครั้งนั้น(เพื่อให้สามารถวัดปริมาตรที่ได้อย่างถูกต้องและคำนวณหาจำนวนตัวอสุจิ(Sperm)ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น)หากไม่สามารรถเก็บมาได้ทั้งหมดไม่ควรนำมาทดสอบในครั้งนั้น
6.ควรนำส่งห้องปฏิบัติการทันที เพื่อผู้ตรวจสามารถสังเกตลักษณะการละลายตัวของน้ำอสุจิ(Sperm)ได้ทัน
(ระยะเวลาในการละลายตัวดังกล่าวเป็นข้อมูลที่ช่วยให้แพทย์สามารถตรวจวินิจฉัยได้อย่างถูกต้อแม่นยำ มากขึ้น)
7.กรณีเก็บน้ำอสุจิ(Sperm) มาจากบ้านควรนำส่งห้องปฏิบัติการภายใน 30 นาที เพราะหากทิ้งไว้นานจะทำให้อสุจิ(Sperm)เคลื่อนไหวช้าลงหรือตายได้(ในกรณีนี้ผู้ตรวจจะไม่สามารถสังเกตระยะเวลาการละลายตัวของน้ำอสุจิได้(Sperm))ได้ หากไม่สามารถส่งได้ทันภายในเวลาดังกล่าวแนะนำให้ผู้ป่วยมาเก็บที่โรงพยาบาล
8.การนำส่งห้องปฏิบัติการให้นำส่งภายใต้อุณหภูมิ 20-40 องศาเซลเซียส หรือ ที่อุณหภูมิห้องทั่วๆไป ห้าม แช่เย็น

การเก็บสิ่งส่งตรวจทางด้านจุลชีววิทยา (Microbiology)
1.การเพาะเชื้อจากเลือด
ใช้เครื่องอัตโนมัติสำหรับตรวจหาเชื้อจากเลือด ขวดใส่เลือดสำหรับเพาะเชื้อเก็บที่อุณหภูมิห้อง มี 2 ชนิด คือ
•ผู้ใหญ่เจาะ เลือด 5 – 10 ml. ใส่ขวด BacT / Alert FA (จุกสีเขียว)
•เด็ก (ผู้ใหญ่ที่เจาะเลือดยาก) เจาะเลือด 0.5 – 4 ml. ใส่ขวด BacT / Alert PF (จุกสีเหลือง)
ข้อปฏิบัติในการเก็บและส่งตัวอย่างจากเลือด
1.ทำความสะอาดบริเวณที่เจาะเลือดด้วย 1 - 2% betadine แล้วใช้สำลีชุบ 70% isopropyl หรือ ethyl alcohol เช็ดออกควรปล่อยให้บริเวณที่เช็ดแห้งก่อนเจาะเลือดหากผู้ป่วยแพ้ iodine ให้ใช้ 70% alcohol เช็ดสองครั้ง
2.เจาะเลือดใส่ขวด BacT / Alert culture bottle ตามขนาดที่เหมาะสม คือ ขวดชนิด Aerobe culture bottle สำหรับผู้ใหญ่หรือเด็กโต (จำนวนขวดละ 5 – 10 ml) และเด็กเล็กใช้ Pedi – BacT – Aerobe culture bottle (จำนวนขวดละ 0.5 – 4 ml)
3.ก่อนถ่ายเลือดใส่ขวดเปิดฝานอกของขวดทิ้ง เช็ดฝาใน (จุกยาง) ด้วย alcohol หรือ iodine ทิ้งไว้ให้แห้ง
4.ใช้วิธี aseptic technique เมื่อถ่ายเลือดลงขวด
5.เขียนชื่อ – นามสกุล H.N. อายุ หอผู้ป่วย ลำดับที่ของขวดและข้อมูลอื่นๆ ที่จำเป็นบนฉลากข้างขวด แต่ไม่ควรเขียนทับ Barcode หรือทำให้ Barcode ฉีกขาด
6.ควรเจาะเลือดก่อนให้ยาต้านจุลชีพ หรือเจาะก่อนให้ยาต้านจุลชีพครั้งต่อไป
7.เจาะเลือด 2 – 3 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 1 ชั่วโมง ถ้าผู้ป่วยหนักที่ต้องให้ยาต้านจุลชีพด่วน อาจเจาะห่างกันในระยะเวลาที่น้อยลง
8.นำส่งทันทีหากไม่สามารถส่งได้ ให้วางที่อุณหภูมิห้องไม่เกิน 1 ชั่วโมง ห้ามเก็บในตู้เย็น
เครื่อง incubator สำหรับเพาะเชื้อจากเลือดจะ detect ได้รวดเร็ว ถ้ามีเชื้อเจริญในขวดเพาะเชื้อ เมื่อย้อมสี gram stain แล้วรายงานผลทันทีผ่านระบบคอมพิวเตอร์จากนั้นจะทำการแยกพิสูจน์ชนิดและทดสอบความไวของเชื้อยาต่อไป
กรณีไม่มีเชื้อรายงาน “No Growth after 3 day incubation” ขวดจะถูก incubate ต่อไป จนครบ 7 วัน ถ้าเชื้อเจริญขึ้นจะทำเช่นเดียวกับข้างต้น เมื่อครบ 7 วัน ไม่มีเชื้อขึ้นรายงาน “No Growth after 7 days incubation”
2.ข้อแนะนำการเก็บสิ่งส่งตรวจเพื่อเพาะเชื้ออื่นๆ
2.1.สิ่งส่งตรวจจากอวัยวะสืบพันธุ์ (Urethral , Vaginal) CSF, Body fluids เก็บที่อุณหภูมิห้องไม่เกิน 1 ชั่วโมง ห้ามเก็บในตู้เย็น
2.2.ปัสสาวะ เก็บแล้วนำส่งทันที ถ้าส่งไม่ได้ให้เก็บในตู้เย็น ห้ามทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องเกิน 2 ชั่วโมง โดยเด็ดขาด
2.3.เสมหะ (sputum) และสิ่งส่งตรวจจากทางเดินหายใจ (lung biopsy, aspirate, bronchial wash, throat swab, nasophapharygeal swab) เก็บแล้วนำส่งทันที ถ้าไม่สามารถส่งได้ทันที ให้เก็บในตู้เย็น
2.4.หนอง แผล ฝี นำส่งทันที ถ้าไม่สามารถส่งได้ทันที ให้เก็บในตู้เย็น
2.5.อุจจาระ และ rectal swab เก็บแล้วนำส่งทันที ถ้าไม่สามารถส่งได้ทันที ให้เก็บในตู้เย็น
การเตรียมสิ่งส่งตรวจ GMS โดยป้ายสิ่งส่งตรวจลงบนสไลด์ fix ด้วย 95% alcohol ทันทีหรือปล่อยแห้ง กรอกข้อมูลในใบส่งตรวจให้ครบถ้วนชัดเจน โดยเฉพาะชื่อ H.N. หอผู้ป่วยและตำแหน่งอวัยวะที่ส่งตรวจ พร้อมข้อมูลทางคลินิกที่สำคัญเกี่ยวกับพยาธิสภาพที่คาดว่าจำเป็น เพื่อประกอบการวินิจฉัย
***การเก็บสิ่งส่งตรวจเพื่อเพาะเชื้อรา ให้นำสิ่งส่งตรวจใส่ขวด sterile ส่งที่ห้องปฏิบัติการทันที***
